วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2559

Single Gateway Single Gateway

Single Gateway

  Single Gateway คืออะไร มาทำความรู้จัก ประตูเปิดโครงข่ายอินเทอร์เน็ต และผลกระทบที่เกิดขึ้นหากประเทศไทยติดตั้ง Single Gateway มาใช้จริง        การที่ประเทศไทยจะนำเอา "Single Gateway" มาใช้นั้น ดูเหมือนว่าจะมีการพูดเรื่องนี้กันมาสักระยะหนึ่ง แต่เพิ่งจะเริ่มตื่นตัวกันจริง ๆ ไม่นานมานี้ หลังรัฐบาลเริ่มผลักดันการใช้ Single Gateway อย่างจริงจัง ทำให้หลายฝ่ายมีการถกเถียงถึงผลกระทบที่จะตามมา ซึ่งหลายคนอาจยังสงสัยว่า Single Gateway คืออะไร และหากประเทศไทยนำเทคโนโลยีที่ว่านี้มาใช้นั้น จะเกิดผลกระทบต่อประชาชนคนไทยที่ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอย่างไรบ้าง กระปุกดอทคอมจึงได้หยิบยกเรื่องนี้มาให้ทุกคนทำความรู้จัก และร่วมพิจารณาถึงผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจจะต้องเผชิญหากมีการใช้ Single Gateway ในประเทศไทยขึ้นมากันค่ะ Single Gateway คืออะไร            หากอธิบายคำว่า Single Gateway คงต้องแยกทั้ง 2 คำออกจากกันก่อน โดยคำว่า "Gateway" หมายถึง ประตูทางผ่าน หรือศัพท์ในวงการไอที หมายถึง ประตูเชื่อมระหว่างเครือข่ายหนึ่งไปยังอีกเครือข่ายหนึ่ง และเป็นตัวที่เชื่อมต่อโครงข่ายของแต่ละประเทศเข้าด้วยกัน ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ให้บริการ Gateway อยู่มากมาย เพื่อเชื่อมต่อกับเครือข่ายต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว             แต่เมื่อเติมคำว่า "Single" เข้าไป กลายเป็น Single Gateway ก็จะแปลได้ว่า จะสามารถเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตผ่านประตูแค่บานเดียว นั่นก็จะเท่ากับการมีผู้ให้บริการเครือข่ายเพียงเจ้าเดียว ทำให้สามารถควบคุม ดักจับข้อมูลเมื่อผู้ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านประตูบานนี้ไปยังเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย   ประเทศที่ใช้ Single Gateway            ปัจจุบันมีประเทศที่ใช้ Single Gateway คือ ลาว จีน เกาหลีเหนือ และประเทศแถบตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นประเทศที่ภาครัฐสามารถควบคุมดูแลการใช้อินเทอร์เน็ตของประชาชนได้สะดวก โดยเฉพาะจีนที่รัฐบาลควบคุมไม่ให้ประชาชนในประเทศเล่นสื่อโซเชียลอย่าง Facebook รวมถึงการห้ามใช้ Google นั่นเอง             และแน่นอนว่าในอดีตประเทศไทยก็เคยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการใช้ Single Gateway เช่นกัน ในสมัยแรก ๆ ที่การใช้อินเทอร์เน็ตยังไม่แพร่หลายมากนัก โดยเวลาที่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ทุกจุดเชื่อมต่อก็จะต้องมารวมกันที่ กสท. ซึ่งขณะนั้นเป็นเพียงผู้ให้บริการเพียงเจ้าเดียว แต่หลังจากเกิดวิกฤตไอเอ็มเอฟ ในปี 2540 ก็ได้มีการสั่งให้ประเทศไทยเปิดเสรีโทรคมนาคม ทำให้ Gateway ในไทยเพิ่มมากขึ้นจนตอนนี้มีถึงสิบกว่า Gateway แล้วรัฐบาลไทย ผลักดันจัดตั้ง Single Gateway              เริ่มแรกเกิดจากการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีนโยบายเตรียมผลักดันการจัดตั้ง Single Gateway โดยมอบหมายให้กระทรวงไอซีทีรับผิดชอบ ในการตรวจสอบข้อมูลที่ไม่เหมาะสม หรือบล็อกข้อมูลที่ก่อให้เกิดความวุ่นวาย รวมทั้งเพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ด้วยการก่อการร้าย ซึ่งมีการสั่งงานของรัฐบาลเป็นระยะ คือ             - วันที่ 30 มิถุนายน 2558 มีการมอบหมายให้กระทรวงไอซีทีร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงยุติธรรมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการจัดตั้ง Single Gateway เพื่อใช้เป็นเครื่องมือควบคุมเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมและการไหลเข้าของข้อมูลข่าวสารจากต่างประเทศผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต             - วันที่ 21 กรกฎาคม 2558 ให้กระทรวงไอซีทีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการจัดตั้ง Single Gateway ตามมติคณะรัฐมนตรี (30 มิถุนายน 2558) โดยด่วนต่อไป             - วันที่ 4 สิงหาคม 2558 ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รายงานความคืบหน้าการจัดตั้ง Single Gateway ให้ทุกส่วนราชการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการดำเนินการทุกอย่างของรัฐบาลให้แก่ประชาชนตั้งแต่เริ่มแรก             - วันที่ 25 สิงหาคม 2558 ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเร่งรัดการดำเนินการเรื่องการจัดตั้ง Single Gateway และรายงานความคืบหน้าให้นายกรัฐมนตรีทราบภายในเดือนกันยายน 2558 ต่อไปด้วยข้อดี หลังการติดตั้ง Single Gateway            - รัฐบาลเป็นผู้ควบคุมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของคนในประเทศ ทำให้สามารถคัดกรองข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หรือไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนได้ รวมถึงป้องกันการเข้าถึงเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสม            - ส่งเสริมความมั่นคงในประเทศชาติ ยากต่อการก่อการร้าย เพราะรัฐบาลจะรู้ก่อน             - ควบคุมข้อมูลข่าวสารที่หลั่งไหลจากต่างประเทศเข้ามาทางอินเทอร์เน็ต ข้อเสีย หลังการติดตั้ง Single Gateway            - อินเตอร์เน็ตช้าลงแน่นอน เนื่องจากมี Gateway เดียว             - หาก Gateway ล่มก็จะล่มกันหมดทั้งประเทศ เพราะจะไม่มี Gateway ตัวอื่นรองรับ            - ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วไปถูกจำกัดการใช้เครือข่ายกับต่างประเทศมากขึ้น และต้องระวังการเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน เช่น การถูกรัฐบาลบล็อก แบน สแกน การใช้งานอินเทอร์เน็ต            - รัฐบาลสามารถปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลที่ประชาชนค้นหาได้อย่างรวดเร็วเต็มประสิทธิภาพ ด้วยป้องการกันการเข้าถึงเว็บไซต์ที่รัฐบาลไม่ต้องการ            - มีค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากต้องสร้าง Gateway ที่มีขนาดใหญ่รองรับปริมาณการใช้งานทั้งประเทศ และต้องใหญ่พอที่จะรองรับปริมาณที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต            - บริษัทข้ามชาติลังเลที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เนื่องจากไม่มั่นใจด้านความมั่นคงและรู้สึกไม่ปลอดภัยในการให้บริการอินเทอร์เน็ต กังวลถึงข้อมูลทางการค้าที่ถูกล้วงความลับได้ง่าย            - ประเทศไทยขาดโอกาสการเป็นฮับทางเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียน ชาวเน็ตรวมพลัง ลงชื่อต่อต้านการติดตั้ง Single Gateway            จากผลเสียที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ประชาชนหลายคนไม่เห็นด้วยกับความคิดของรัฐบาล จนเกิดการรวมตัวของชาวออนไลน์ตั้งแคมเปญขึ้นมาให้ผู้ที่ไม่เห็นด้วยลงชื่อผ่านเว็บไซต์ โดยใช้ชื่อว่า “ต่อต้านการตั้งซิงเกิล เกตเวย์ Go against Thai govt to use a Single Internet Gateway”  ซึ่งภายในเว็บไซต์ยังรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Single Gateway ไว้ให้ผู้ที่สนใจเข้าไปร่วมศึกษาได้อีกด้วย
             Single Gateway คืออะไร มาทำความรู้จัก ประตูเปิดโครงข่ายอินเทอร์เน็ต และผลกระทบที่เกิดขึ้นหากประเทศไทยติดตั้ง Single Gateway มาใช้จริง              การที่ประเทศไทยจะนำเอา "Single Gateway" มาใช้นั้น ดูเหมือนว่าจะมีการพูดเรื่องนี้กันมาสักระยะหนึ่ง แต่เพิ่งจะเริ่มตื่นตัวกันจริง ๆ ไม่นานมานี้ หลังรัฐบาลเริ่มผลักดันการใช้ Single Gateway อย่างจริงจัง ทำให้หลายฝ่ายมีการถกเถียงถึงผลกระทบที่จะตามมา ซึ่งหลายคนอาจยังสงสัยว่า Single Gateway คืออะไร และหากประเทศไทยนำเทคโนโลยีที่ว่านี้มาใช้นั้น จะเกิดผลกระทบต่อประชาชนคนไทยที่ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอย่างไรบ้าง กระปุกดอทคอมจึงได้หยิบยกเรื่องนี้มาให้ทุกคนทำความรู้จัก และร่วมพิจารณาถึงผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจจะต้องเผชิญหากมีการใช้ Single Gateway ในประเทศไทยขึ้นมากันค่ะ Single Gateway คืออะไร            หากอธิบายคำว่า Single Gateway คงต้องแยกทั้ง 2 คำออกจากกันก่อน โดยคำว่า "Gateway" หมายถึง ประตูทางผ่าน หรือศัพท์ในวงการไอที หมายถึง ประตูเชื่อมระหว่างเครือข่ายหนึ่งไปยังอีกเครือข่ายหนึ่ง และเป็นตัวที่เชื่อมต่อโครงข่ายของแต่ละประเทศเข้าด้วยกัน ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ให้บริการ Gateway อยู่มากมาย เพื่อเชื่อมต่อกับเครือข่ายต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว             แต่เมื่อเติมคำว่า "Single" เข้าไป กลายเป็น Single Gateway ก็จะแปลได้ว่า จะสามารถเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตผ่านประตูแค่บานเดียว นั่นก็จะเท่ากับการมีผู้ให้บริการเครือข่ายเพียงเจ้าเดียว ทำให้สามารถควบคุม ดักจับข้อมูลเมื่อผู้ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านประตูบานนี้ไปยังเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย   ประเทศที่ใช้ Single Gateway            ปัจจุบันมีประเทศที่ใช้ Single Gateway คือ ลาว จีน เกาหลีเหนือ และประเทศแถบตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นประเทศที่ภาครัฐสามารถควบคุมดูแลการใช้อินเทอร์เน็ตของประชาชนได้สะดวก โดยเฉพาะจีนที่รัฐบาลควบคุมไม่ให้ประชาชนในประเทศเล่นสื่อโซเชียลอย่าง Facebook รวมถึงการห้ามใช้ Google นั่นเอง             และแน่นอนว่าในอดีตประเทศไทยก็เคยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการใช้ Single Gateway เช่นกัน ในสมัยแรก ๆ ที่การใช้อินเทอร์เน็ตยังไม่แพร่หลายมากนัก โดยเวลาที่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ทุกจุดเชื่อมต่อก็จะต้องมารวมกันที่ กสท. ซึ่งขณะนั้นเป็นเพียงผู้ให้บริการเพียงเจ้าเดียว แต่หลังจากเกิดวิกฤตไอเอ็มเอฟ ในปี 2540 ก็ได้มีการสั่งให้ประเทศไทยเปิดเสรีโทรคมนาคม ทำให้ Gateway ในไทยเพิ่มมากขึ้นจนตอนนี้มีถึงสิบกว่า Gateway แล้วรัฐบาลไทย ผลักดันจัดตั้ง Single Gateway              เริ่มแรกเกิดจากการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีนโยบายเตรียมผลักดันการจัดตั้ง Single Gateway โดยมอบหมายให้กระทรวงไอซีทีรับผิดชอบ ในการตรวจสอบข้อมูลที่ไม่เหมาะสม หรือบล็อกข้อมูลที่ก่อให้เกิดความวุ่นวาย รวมทั้งเพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ด้วยการก่อการร้าย ซึ่งมีการสั่งงานของรัฐบาลเป็นระยะ คือ             - วันที่ 30 มิถุนายน 2558 มีการมอบหมายให้กระทรวงไอซีทีร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงยุติธรรมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการจัดตั้ง Single Gateway เพื่อใช้เป็นเครื่องมือควบคุมเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมและการไหลเข้าของข้อมูลข่าวสารจากต่างประเทศผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต             - วันที่ 21 กรกฎาคม 2558 ให้กระทรวงไอซีทีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการจัดตั้ง Single Gateway ตามมติคณะรัฐมนตรี (30 มิถุนายน 2558) โดยด่วนต่อไป             - วันที่ 4 สิงหาคม 2558 ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รายงานความคืบหน้าการจัดตั้ง Single Gateway ให้ทุกส่วนราชการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการดำเนินการทุกอย่างของรัฐบาลให้แก่ประชาชนตั้งแต่เริ่มแรก             - วันที่ 25 สิงหาคม 2558 ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเร่งรัดการดำเนินการเรื่องการจัดตั้ง Single Gateway และรายงานความคืบหน้าให้นายกรัฐมนตรีทราบภายในเดือนกันยายน 2558 ต่อไปด้วยข้อดี หลังการติดตั้ง Single Gateway            - รัฐบาลเป็นผู้ควบคุมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของคนในประเทศ ทำให้สามารถคัดกรองข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หรือไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนได้ รวมถึงป้องกันการเข้าถึงเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสม            - ส่งเสริมความมั่นคงในประเทศชาติ ยากต่อการก่อการร้าย เพราะรัฐบาลจะรู้ก่อน             - ควบคุมข้อมูลข่าวสารที่หลั่งไหลจากต่างประเทศเข้ามาทางอินเทอร์เน็ต ข้อเสีย หลังการติดตั้ง Single Gateway            - อินเตอร์เน็ตช้าลงแน่นอน เนื่องจากมี Gateway เดียว             - หาก Gateway ล่มก็จะล่มกันหมดทั้งประเทศ เพราะจะไม่มี Gateway ตัวอื่นรองรับ            - ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วไปถูกจำกัดการใช้เครือข่ายกับต่างประเทศมากขึ้น และต้องระวังการเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน เช่น การถูกรัฐบาลบล็อก แบน สแกน การใช้งานอินเทอร์เน็ต            - รัฐบาลสามารถปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลที่ประชาชนค้นหาได้อย่างรวดเร็วเต็มประสิทธิภาพ ด้วยป้องการกันการเข้าถึงเว็บไซต์ที่รัฐบาลไม่ต้องการ            - มีค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากต้องสร้าง Gateway ที่มีขนาดใหญ่รองรับปริมาณการใช้งานทั้งประเทศ และต้องใหญ่พอที่จะรองรับปริมาณที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต            - บริษัทข้ามชาติลังเลที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เนื่องจากไม่มั่นใจด้านความมั่นคงและรู้สึกไม่ปลอดภัยในการให้บริการอินเทอร์เน็ต กังวลถึงข้อมูลทางการค้าที่ถูกล้วงความลับได้ง่าย            - ประเทศไทยขาดโอกาสการเป็นฮับทางเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียน ชาวเน็ตรวมพลัง ลงชื่อต่อต้านการติดตั้ง Single Gateway            จากผลเสียที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ประชาชนหลายคนไม่เห็นด้วยกับความคิดของรัฐบาล จนเกิดการรวมตัวของชาวออนไลน์ตั้งแคมเปญขึ้นมาให้ผู้ที่ไม่เห็นด้วยลงชื่อผ่านเว็บไซต์ โดยใช้ชื่อว่า “ต่อต้านการตั้งซิงเกิล เกตเวย์ Go against Thai govt to use a Single Internet Gateway”  ซึ่งภายในเว็บไซต์ยังรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Single Gateway ไว้ให้ผู้ที่สนใจเข้าไปร่วมศึกษาได้อีกด้วย
             Single Gateway คืออะไร มาทำความรู้จัก ประตูเปิดโครงข่ายอินเทอร์เน็ต และผลกระทบที่เกิดขึ้นหากประเทศไทยติดตั้ง Single Gateway มาใช้จริง              การที่ประเทศไทยจะนำเอา "Single Gateway" มาใช้นั้น ดูเหมือนว่าจะมีการพูดเรื่องนี้กันมาสักระยะหนึ่ง แต่เพิ่งจะเริ่มตื่นตัวกันจริง ๆ ไม่นานมานี้ หลังรัฐบาลเริ่มผลักดันการใช้ Single Gateway อย่างจริงจัง ทำให้หลายฝ่ายมีการถกเถียงถึงผลกระทบที่จะตามมา ซึ่งหลายคนอาจยังสงสัยว่า Single Gateway คืออะไร และหากประเทศไทยนำเทคโนโลยีที่ว่านี้มาใช้นั้น จะเกิดผลกระทบต่อประชาชนคนไทยที่ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอย่างไรบ้าง กระปุกดอทคอมจึงได้หยิบยกเรื่องนี้มาให้ทุกคนทำความรู้จัก และร่วมพิจารณาถึงผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจจะต้องเผชิญหากมีการใช้ Single Gateway ในประเทศไทยขึ้นมากันค่ะ Single Gateway คืออะไร            หากอธิบายคำว่า Single Gateway คงต้องแยกทั้ง 2 คำออกจากกันก่อน โดยคำว่า "Gateway" หมายถึง ประตูทางผ่าน หรือศัพท์ในวงการไอที หมายถึง ประตูเชื่อมระหว่างเครือข่ายหนึ่งไปยังอีกเครือข่ายหนึ่ง และเป็นตัวที่เชื่อมต่อโครงข่ายของแต่ละประเทศเข้าด้วยกัน ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ให้บริการ Gateway อยู่มากมาย เพื่อเชื่อมต่อกับเครือข่ายต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว             แต่เมื่อเติมคำว่า "Single" เข้าไป กลายเป็น Single Gateway ก็จะแปลได้ว่า จะสามารถเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตผ่านประตูแค่บานเดียว นั่นก็จะเท่ากับการมีผู้ให้บริการเครือข่ายเพียงเจ้าเดียว ทำให้สามารถควบคุม ดักจับข้อมูลเมื่อผู้ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านประตูบานนี้ไปยังเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย   ประเทศที่ใช้ Single Gateway            ปัจจุบันมีประเทศที่ใช้ Single Gateway คือ ลาว จีน เกาหลีเหนือ และประเทศแถบตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นประเทศที่ภาครัฐสามารถควบคุมดูแลการใช้อินเทอร์เน็ตของประชาชนได้สะดวก โดยเฉพาะจีนที่รัฐบาลควบคุมไม่ให้ประชาชนในประเทศเล่นสื่อโซเชียลอย่าง Facebook รวมถึงการห้ามใช้ Google นั่นเอง             และแน่นอนว่าในอดีตประเทศไทยก็เคยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการใช้ Single Gateway เช่นกัน ในสมัยแรก ๆ ที่การใช้อินเทอร์เน็ตยังไม่แพร่หลายมากนัก โดยเวลาที่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ทุกจุดเชื่อมต่อก็จะต้องมารวมกันที่ กสท. ซึ่งขณะนั้นเป็นเพียงผู้ให้บริการเพียงเจ้าเดียว แต่หลังจากเกิดวิกฤตไอเอ็มเอฟ ในปี 2540 ก็ได้มีการสั่งให้ประเทศไทยเปิดเสรีโทรคมนาคม ทำให้ Gateway ในไทยเพิ่มมากขึ้นจนตอนนี้มีถึงสิบกว่า Gateway แล้วรัฐบาลไทย ผลักดันจัดตั้ง Single Gateway              เริ่มแรกเกิดจากการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีนโยบายเตรียมผลักดันการจัดตั้ง Single Gateway โดยมอบหมายให้กระทรวงไอซีทีรับผิดชอบ ในการตรวจสอบข้อมูลที่ไม่เหมาะสม หรือบล็อกข้อมูลที่ก่อให้เกิดความวุ่นวาย รวมทั้งเพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ด้วยการก่อการร้าย ซึ่งมีการสั่งงานของรัฐบาลเป็นระยะ คือ             - วันที่ 30 มิถุนายน 2558 มีการมอบหมายให้กระทรวงไอซีทีร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงยุติธรรมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการจัดตั้ง Single Gateway เพื่อใช้เป็นเครื่องมือควบคุมเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมและการไหลเข้าของข้อมูลข่าวสารจากต่างประเทศผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต             - วันที่ 21 กรกฎาคม 2558 ให้กระทรวงไอซีทีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการจัดตั้ง Single Gateway ตามมติคณะรัฐมนตรี (30 มิถุนายน 2558) โดยด่วนต่อไป             - วันที่ 4 สิงหาคม 2558 ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รายงานความคืบหน้าการจัดตั้ง Single Gateway ให้ทุกส่วนราชการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการดำเนินการทุกอย่างของรัฐบาลให้แก่ประชาชนตั้งแต่เริ่มแรก             - วันที่ 25 สิงหาคม 2558 ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเร่งรัดการดำเนินการเรื่องการจัดตั้ง Single Gateway และรายงานความคืบหน้าให้นายกรัฐมนตรีทราบภายในเดือนกันยายน 2558 ต่อไปด้วยข้อดี หลังการติดตั้ง Single Gateway            - รัฐบาลเป็นผู้ควบคุมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของคนในประเทศ ทำให้สามารถคัดกรองข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หรือไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนได้ รวมถึงป้องกันการเข้าถึงเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสม            - ส่งเสริมความมั่นคงในประเทศชาติ ยากต่อการก่อการร้าย เพราะรัฐบาลจะรู้ก่อน             - ควบคุมข้อมูลข่าวสารที่หลั่งไหลจากต่างประเทศเข้ามาทางอินเทอร์เน็ต ข้อเสีย หลังการติดตั้ง Single Gateway            - อินเตอร์เน็ตช้าลงแน่นอน เนื่องจากมี Gateway เดียว             - หาก Gateway ล่มก็จะล่มกันหมดทั้งประเทศ เพราะจะไม่มี Gateway ตัวอื่นรองรับ            - ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วไปถูกจำกัดการใช้เครือข่ายกับต่างประเทศมากขึ้น และต้องระวังการเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน เช่น การถูกรัฐบาลบล็อก แบน สแกน การใช้งานอินเทอร์เน็ต            - รัฐบาลสามารถปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลที่ประชาชนค้นหาได้อย่างรวดเร็วเต็มประสิทธิภาพ ด้วยป้องการกันการเข้าถึงเว็บไซต์ที่รัฐบาลไม่ต้องการ            - มีค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากต้องสร้าง Gateway ที่มีขนาดใหญ่รองรับปริมาณการใช้งานทั้งประเทศ และต้องใหญ่พอที่จะรองรับปริมาณที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต            - บริษัทข้ามชาติลังเลที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เนื่องจากไม่มั่นใจด้านความมั่นคงและรู้สึกไม่ปลอดภัยในการให้บริการอินเทอร์เน็ต กังวลถึงข้อมูลทางการค้าที่ถูกล้วงความลับได้ง่าย            - ประเทศไทยขาดโอกาสการเป็นฮับทางเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียน ชาวเน็ตรวมพลัง ลงชื่อต่อต้านการติดตั้ง Single Gateway            จากผลเสียที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ประชาชนหลายคนไม่เห็นด้วยกับความคิดของรัฐบาล จนเกิดการรวมตัวของชาวออนไลน์ตั้งแคมเปญขึ้นมาให้ผู้ที่ไม่เห็นด้วยลงชื่อผ่านเว็บไซต์ โดยใช้ชื่อว่า “ต่อต้านการตั้งซิงเกิล เกตเวย์ Go against Thai govt to use a Single Internet Gateway”  ซึ่งภายในเว็บไซต์ยังรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Single Gateway ไว้ให้ผู้ที่สนใจเข้าไปร่วมศึกษาได้อีกด้วย

การใช้งานโปรแกรมอัพโหลด-ดาวน์โหลดข้อมูล 1 โปรแกรม


การใช้งานโปรแกรมอัพโหลด-ดาวน์โหลดข้อมูล 1 โปรแกรม

FileZilla Client (โหลด FileZilla โปรแกรม FTP โหลดฟรี)

            FileZilla Client (โหลด FileZilla โปรแกรม FTP โหลดฟรี)

โปรแกรมรับส่งไฟล์ FileZilla
หน้าหลักของการใช้งาน โปรแกรมรับส่งไฟล์ FileZilla
FileZilla Client (โหลด FileZilla โปรแกรม FTP โหลดฟรี) : สำหรับโปรแกรมนี้ เป็น โปรแกรม FTP Client ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย กลุ่มนักพัฒนาโปรแกรม แบบ OpenSource พัฒนากันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 ซึ่งถือได้ว่ามีประสบการณ์ยาวนานมากๆ แต่ว่าสมัยก่อนยังไม่ค่อยโด่งดังเท่าตอนนี้ เนื่องจากเป็นโปรแกรมอัพโหลด ดาวน์โหลดไฟล์ ที่ยังมีการพัฒนาออกเวอร์ชั่นใหม่ อย่างต่อเนื่อง จึงเป็นเหตุให้เดี๋ยวนี้เป็นที่นิยมมากๆ ในหมู่คนทำเว็บทั้งหลายซึ่ง โปรแกรม FileZilla นี้ท่านสามารถ นำไปใช้กันฟรีๆ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น แถมนอกจากที่จะฟรี แล้ว โปรแกรม FTP นี้ยังมาพร้อมกับความสามารถ ที่พิเศษ และไม่ธรรมดาอีกมากมาย ชนิดที่เรียกว่า โปรแกรมตัวเสียเงินลงทะเบียนยังอายเลย

โปรแกรม FTP นี้สนับสนุนทั้งการส่งไฟล์ (Upload) หรือ ดาวน์โหลด (Download) ไฟล์จากเครื่องลูกข่าย (Client) สู่เครื่องเซิฟเวอร์ แม่ข่าย (Server) และเป็น โปรแกรม FTP ที่มีระบบ ตรวจสอบการรับส่งข้อมูล ว่ามีปัญหาหรือไม่ หรือที่เรียกว่าระบบ TimeOut Detection และสนับสนุนระบบ Firewall และโปรโตคอล ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย (Security) มากมาย อาทิเช่น SSL รวมไปถึง SFTP และ การใช้งานนั้น ก็สามารถใช้งานได้ง่ายแสนง่าย โดยหลักการเป็นการลากแล้ววาง (Drag & Drop) เป็นหลัก ง่ายมากๆ อีกด้วยต่างหาก

Program Features (คุณสมบัติและความสามารของ โปรแกรม FTP นามว่า FileZilla อย่างละเอียดยิบ)
  • สามารถปรับแต่งตั้งค่า Directory ของ Site Manager และ Bookmark ได้
  • โปรแกรมรับส่งไฟล์ ที่มีขนาดเล็กมากๆ (มีขนาดไม่ถึง 5 MB.) กินทรัพยากรเครื่องน้อย
  • สนับสนุนการลากแล้ววาง (Drag-and-Drop) ไม่ว่าจะจากในตัวโปรแกรม FTP นี้เอง หรือ จาก Windows Explorer ด้านนอก ก็สามารถลากเข้ามาได้เช่นกัน
  • สนับสนุนรูปแบบการเชื่อมต่อข้อมูล ที่เป็นมาตรฐานของการรับส่งไฟล์ ที่หลากหลาย อาทิเช่น FTP FTPS (FTP over SSL/TLS) หรือแม้แต่ SFTP (SSH File Transfer Protocol)
  • สามารถส่งออกข้อมูล รายละเอียดของ FTP Site เพื่อนำไปใส่ใน โปรแกรม FileZilla ที่ติดตั้งอยู่บนเครื่องอื่นๆ ได้ ในกรณีที่คุณใช้คอมพิวเตอร์หลายเครื่อง
  • มีระบบเชื่อมต่ออัตโนมัติ ในกรณีที่การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหลุด
  • มีระบบ Quick Connect หรือ เชื่อมต่อแบบเร่งด่วน ใส่ค่าต่างๆ อาทิเช่นโฮสท์ ชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน จากแท็บด้านบนของโปรแกรมแล้วกดปุ่ม QuickConnect ได้เลย ลดเวลาการกรอกรายละเอียดเชื่อมต่อ ปลอดภัย เพราะจไม่เซฟรายละเอียดเอาไว้เลย หากกดปุ่ม Clear History เพื่อล้างข้อมูลทั้งหมด
  • สามารถแบ่งการเชื่อมต่อออกเป็นแท็บ (Tab Connection) ได้ ไม่ต้องเปิดทีละหลายๆ หน้าต่าง ในกรณีที่ต้องการ รับส่งไฟล์ พร้อมกันในหลายๆ เครื่องเซิฟเวอร์ ลักษณะเหมือนเว็บเบราว์เซอร์ชั้นนำในปัจจุบัน ซึ่งสามารถเลือกได้ว่า จะเปิดการเชื่อมต่อจากแท็บเดิม หรือ เปิดแท็บใหม่ไปเลย
  • มีระบบทำบุ๊คมาร์ค (Bookmark) สำหรับโฟลเดอร์ ที่เข้าบ่อยๆ บนเซิร์ฟเวอร์ FTP โดยไม่ต้องเริ่มต้นเข้าจากระดับแรกเข้าไป ทีละระดับ
  • สามารถกำหนดหรือจำกัด ความเร็วในการรับส่งข้อมูลได้ เพื่อป้องกันการบริโภคแบนวิธ ที่มากเกินไป
  • มีระบบการค้นหาไฟล์ที่ทันสมัย และ กำหนดเงื่อนไขได้มากมาย
  • สนับสนุนการใช้ลิ้งค์ไฟล์ในรูปแบบของ Symbolic Link
  • สามารถอัพโหลด หรือ ดาวน์โหลดไฟล์ ระหว่างเครื่องแม่ และ เครื่องลูก ที่มีขนาดมากกว่า 4 GB. ขึ้นไปอย่างไม่มีปัญหา
  • มีระบบการแจ้งเตือนอัพเดทเวอร์ชั่นใหม่ โดยอัตโนมัติ ในกรณีที่มีการอัพเดทเวอร์ชั่นใหม่ พร้อมการอัพเดทโดยทันที (Automatic Update Systems) โดยไม่ต้องดาวน์โหลดไฟล์ลงมาเอง และ ติดตั้งเอง อันนี้จะสามารถอัพเดทได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งง่ายมากๆ ผู้ใช้งานแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย
  • มีความสามารถในการเปรียบเทียบโฟลเดอร์ (Directory Comparison) ในส่วนของการบริหารจัดการไซต์ (Site Manager) และ บุ๊คมาร์ค (Bookmark)
  • การแก้ไขบั๊กต่างๆ เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วเสมอ เพราะมีการอัพเดทเวอร์ชั่นใหม่อยู่ตลอดเวลา
  • สนับสนุนการใช่งานหลากหลายภาษา
  • สนับสนุนการใช้งานผ่านการเชื่อมต่อที่มีพร็อกซี่เซิร์ฟเวอร์ (Proxy Server) คั่นอยู่ตรงกลาง
  • สนับสนุนการใช้งานไอพีเวอร์ชั่นใหม่อย่าง IPV6 อย่างเต็มรูปแบบ รองรับหมายเลขไอพีแอดเดรส ที่เกิดขึ้นจากทั่วโลกได้มากขึ้น
  • กินทรัพยากรเครื่องต่ำมากๆ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยความจำ RAM รวมไปถึงฮาร์ดดิสก์ และยังมีการพัฒนาปรับแต่งประสิทธิภาพกันอยู่ตลอดเวลา ในทุกเวอร์ชั่น
  • และความสามารถอื่นๆ อีกมากมาย
  • แจกฟรี 100% เป็นโปรแกรม FTP ที่เว็บมาสเตอร์ทั่วโลกนิยมใช้กันมากที่สุด

Note : สำหรับในส่วนของ โปรแกรม FTP (FileZilla) โปรแกรมนี้ ทางผู้พัฒนา FileZilla (Program Developer) เขาได้แจกให้ ทุกท่านได้นำไปใช้ รับส่งไฟล์ กันฟรีๆ (FREE) โดยท่าน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น โดยท่านสามารถที่จะติดต่อกับทาง ผู้พัฒนา โปรแกรม FTP นี้ได้ผ่านทางช่องทาง (E-Mail) : tim.kosse@filezilla-project.org (ภาษาอังกฤษ) ได้ทันทีเลย

This program is called "FileZilla". It is a fast and reliable FTP client with lots of handy features. It supports resume on both downloads and uploads, timeout detection, firewall support, SOCKS4/5 and HTTP1.1 support, SSL, SFTP and more, all with an intuitive drag and drop interface.
ดาวน์โหลดโปรแกรม FileZilla

โปรแกรมอัพโหลด-ดาวน์โหลดข้อมูล 5 โปรแกรม



                                 
 โปรแกรมอัพโหลด-ดาวน์โหลดข้อมูล 5 โปรแกรม

1.FileZilla Client  FileZilla Client (โหลด FileZilla โปรแกรม FTP โหลดฟรี) FileZilla Client (โหลด FileZilla โปรแกรม FTP โหลดฟรี) : สำหรับโปรแกรมนี้เป็น โปรแกรม FTP Client ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย กลุ่มนักพัฒนาโปรแกรม แบบOpenSource พัฒนากันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 ซึ่งถือได้ว่ามีประสบการณ์ยาวนานมากๆแต่ว่าสมัยก่อนยังไม่ค่อยโด่งดังเท่าตอนนี้ เนื่องจากเป็นโปรแกรมอัพโหลด ดาวน์โหลดไฟล์ ที่ยังมีการพัฒนาออกเวอร์ชั่นใหม่ อย่างต่อเนื่อง จึงเป็นเหตุให้เดี๋ยวนี้เป็นที่นิยมมากๆ ในหมู่คนทำเว็บทั้งหลายซึ่ง โปรแกรม FileZilla นี้ท่านสามารถ นำไปใช้กันฟรีๆโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น แถมนอกจากที่จะฟรี แล้ว โปรแกรมFTP นี้ยังมาพร้อมกับความสามารถ ที่พิเศษ และไม่ธรรมดาอีกมากมาย ชนิดที่เรียกว่า โปรแกรมตัวเสียเงินลงทะเบียนยังอายเลย


CuteFTP (ดาวน์โหลด CuteFTP เก่าแก่ที่สุด)

2.CuteFTP Professional (ดาวน์โหลด CuteFTP เก่าแก่ที่สุด) : โปรแกรมนี้มีชื่อว่า CuteFTP จัดได้ว่าเป็น สุดยอด โปรแกรม FTP ที่มีอายุเก่าแก่มากๆ ถูกพัฒนาขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1996 (เกือบๆ 20 ปีแล้ว) โดยทีมผู้พัฒนาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ชื่อว่า โปรแกรม CuteFTP ซึ่งมันเป็นโปรแกรมที่ใช้สำหรับถ่ายโอนเข้ามูลหรือโอนไฟล์ระหว่างเครื่องคุณเครื่องเซิร์ฟเวอร์ หรือเว็บไซต์ เว็บโฮสติ้ง ต่างๆ ด้วยคุณสมบัติที่ใช้งานง่าย ผู้เริ่มเล่นก็สามารถใช้งานได้อย่างสบาย ประกอบกับมีฟีเจอร์ที่ให้บริการ ติดต่อเครื่องเซิร์ฟเวอร์ (Server) แบบอัตโนมัติ ขณะที่ Server ที่ติดต่ออยู่เกิดขาดหายไป และ ดาวน์โหลด CuteFTP ไปแล้วยังจะได้พบกับ คุณสมบัติพิเศษช่วยคุณ                                                    ค้นหาไฟล์ หรือ MP3 ที่ต้องการค้นหาให้ค้นหาได้อย่างง่ายดายอีกด้วย ครับผม                                                  โปรแกรมนี้ก็ เป็นอีก โปรแกรมนึงที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในเหล่าบรรดา เว็บ                                                  มาสเตอร์คนไทย




SmartFTP Client (โปรแกรม SmartFTP รับส่งไฟล์ กับเซิร์ฟเวอร์)3.SmartFTP Client (โปรแกรม SmartFTP รับส่งไฟล์ กับเซิร์ฟเวอร์) : โปรแกรมนี้มีชื่อว่า โปรแกรม SmartFTP เป็น โปรแกรมรับส่งข้อมูล ระหว่างเครื่องลูก (Client) และ เครื่องแม่ (Server) จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้เริ่มพัฒนาครั้งแรกมาตั้งแต่ปี ค.ศ.2003 ถือได้ว่าเป็น โปรแกรมที่คุณสามารถใช้งานได้ง่ายๆ ให้คุณได้ อัพโหลด ดาวน์โหลด ไฟล์ข้อมูลต่างๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว โดยโปรแกรมนี้มีหน้าตาที่ใช้งานง่าย ด้านซ้ายมือ คือหน้าจอที่แสดงไฟล์บนเครื่องคอมพิวเตอร์คุณ ส่วนด้านขวามือ คือหน้าจอแสดงไฟล์ หรือ โฟลเดอร์ ที่มีอยู่ทั้งหมด บนเครื่องเซิร์ฟเวอร์





Core FTP LE (โปรแกรม FTP รับส่งข้อมูล ชั้นเยี่ยม)4.Core FTP LE (โปรแกรม FTP รับส่งข้อมูล ชั้นเยี่ยม) : สำหรับโปรแกรมนี้มีชื่อว่า โปรแกรม Core FTP LE เป็น โปรแกรมที่เอาไว้รับส่งข้อมูล ระหว่างเครื่องลูก (Client) กับ เครื่องแม่ (Server) มันถูกพัฒนาโดยผู้พัฒนาจากประเทศสหรัฐอเมริกา โปรแกรมประเภทนี้จะเหมาะสำหรับ เว็บมาสเตอร์ หรือเจ้าของเว็บไซต์ ที่ต้องการ ส่งไฟล์ (Upload) และดาวน์โหลดไฟล์ (Download) ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ตัวเอง กับ Web Server โดย Core FTP LE โปรแกรม FTP รับส่งข้อมูล นั้นมีความสามารถในการรองรับมาตรฐานการรับส่งข้อมูลที่หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นทั้ง โปรโตคอลแบบ SSL/TLS SSH/SFTP IDN ModeZ หรือแม้แต่ fxp




Classic FTP File (โปรแกรมรับส่งไฟล์ผ่าน FTP servers)5.Classic FTP File (โปรแกรมรับส่งไฟล์ผ่าน FTP servers) : สำหรับโปรแกรมนี้มีชื่อว่า โปรแกรม Classic FTP File ช่วยให้คุณรับส่งไฟล์ต่างๆ ได้อย่างง่ายดายผ่านอินเทอร์เน็ต ด้วยหน้าตา โปรแกรมที่ใช้งานง่ายคลาสสิค สมชื่อ เพียงแค่ลากและวางก็สามารถโอนถ่ายข้อมูลได้ทันที โปรแกรมนี้มีระบบเข้ารหัส การรับส่งข้อมูลด้วยโปรโตคอลแบบ SSL ได้อีกด้วย สำหรับเซิร์ฟเวอร์ FTP ตัวไหนที่รองรับ บอกได้เลยว่าใช้งานได้หายห่วง แถมยัง รองรับการใช้งานร่วมกับเซิร์ฟเวอร์ FTP ต่างๆ มากมาย















World Wide Web คืออะไร

 World Wide Web คืออะไร

             World Wide Web หรือที่เรามักเรียกสั้นๆว่า Web หรือ W3 (WWW) คือ คอมพิวเตอร์ส่วนหนึ่งบนอินเตอร์เน็ต ที่ถูกเชื่อมต่อกันในแบบพิเศษที่ทำให้คอมพิวเตอร์เหล่านั้นสามารถเข้าถึงข้อมูลเนื้อหาที่เก็บไว้ภายในของแต่ละเครื่องได้ (กลายเป็นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่) โดยผ่านทาง บราวเซอร์ (Browser) ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ประเภทหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้อ่านและตอบโต้ข้อมูลต่างๆที่มีอยู่ใน World Wide Web โดยเฉพาะ บราวเซอร์ที่พบเห็นได้มากที่สุดในปัจจุบัน ได้แก่ Internet Explorer ของ และ Firefox
            การนำเสนอข้อมูลในระบบ WWW (World Wide Web) พัฒนาขึ้นมาในช่วงปลายปี 1989 โดยทีมงานจาก ห้องปฏิบัติการทางจุลภาคฟิสิกส์แห่งยุโรป (European Particle Physics Labs) หรือที่รู้จักกัน ในนาม CERN (Conseil European pour la Recherche Nucleaire) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และได้มี การพัฒนา ภาษาที่ใช้สนับสนุน การเผยแพร่เอกสารของนักวิจัย หรือเอกสารเว็บ (Web Document) จากเครื่องแม่ข่าย (Server) ไปยังสถานที่ต่างๆ ในระบบ WWW เรียกว่า ภาษา HTML (HyperText Markup Language)
             การเผยแพร่ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ผ่านสื่อประเภทเว็บเพจ (WebPage) เป็นที่นิยมกันอย่างสูงในปัจจุบัน ไม่เฉพาะข้อมูลโฆษณาสินค้า ยังรวมไปถึงข้อมูลทางการแพทย์ การเรียน งานวิจัยต่างๆ เพราะเข้าถึงกลุ่มผู้สนใจได้ทั่วโลก ตลอดจนข้อมูลที่นำเสนอออกไป สามารถเผยแพร่ ได้ทั้งข้อมูลตัวอักษร ข้อมูลภาพ ข้อมูลเสียง และภาพเคลื่อนไหว มีลูกเล่นและเทคนิคการนำเสนอ ที่หลากหลาย อันส่งผลให้ระบบ WWW เติบโตเป็นหนึ่ง ในรูปแบบบริการ ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของ ระบบอิน
           ลักษณะเด่นของการนำเสนอข้อมูลเว็บเพจ คือ สามารถเชื่อมโยงข้อมูลไปยังจุดอื่นๆ บนหน้าเว็บได้ ตลอดจนสามารถเชื่อมโยงไปยังเว็บอื่นๆ ในระบบเครือข่าย อันเป็นที่มาของคำว่า HyperText หรือข้อความที่มีความสามารถ มากกว่าข้อความปกตินั่นเอง จึงมีลักษณะคล้ายกับว่าผู้อ่านเอกสารเว็บ สามารถโต้ตอบกับเอกสารนั้นๆ ด้วยตนเอง ตลอดเวลาที่มีการใช้งานนั่นเอง
ด้วยความสามารถดังกล่าวข้างต้น จึงมีผู้ให้คำนิยาม Web ไว้ดังนี้
"World Wide Web as a global, interactive, cross-platform, distributed, graphical hypertext information system that runs over the Internet."
  • The Web is a Graphical Hypertext Information System.
    การนำเสนอข้อมูลผ่านเว็บ เป็นการนำเสนอด้วยข้อมูล ที่สามารถเรียก หรือโยงไปยังจุดอื่นๆ ในระบบกราฟิก ซึ่งทำให้ข้อมูลนั้นๆ มีจุดดึงดูดให้น่าเรียกดู
  • The Web is Cross-Platform.
    The Web doesn't care about user-interface wars between companies, such as UNIX, Windows 3.11, Windows 95, Windows NT, System 6/7 of Macintosh. ข้อมูลบนเว็บไม่ยึดติดกับระบบปฏิบัติการ (Operating System : OS) เนื่องจากเป็นข้อมูลนั้นๆ ถูกจัดเก็บเป็น Text File ดังนั้นไม่ว่าจะถูกเก็บไว้ใน คอมพิวเตอร์ที่ใช้ OS เป็น Unix หรือ Windows NT ก็สามารถเรียกดูจากคอมพิวเตอร์ที่ใช้ OS ต่างจากคอมพิวเตอร์ที่เป็นเครื่องแม่ข่ายได้
  • The Web is Distributed.
    The information is distributed globally across thousands of different sites. ข้อมูลในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มีปริมาณมากจากทั่วโลก และผู้ใช้จากทุกแห่งหน ที่สามารถต่อเข้า ระบบอินเทอร์เน็ตได้ ก็สามารถเรียกดูข้อมูลได้ตลอดเวลา ดังนั้นข้อมูลในระบบอินเทอร์เน็ต จึงสามารถเผยแพร่ได้รวดเร็ว และกว้างไกล
  • The Web is interactive.
    The Web is interactive by nature. การทำงานบนเว็บ เป็นการทำงานแบบโต้ตอบกับผู้ใช้ โดยธรรมชาติอยู่แล้ว ดังนั้นเว็บจึงเป็นระบบ Interactive ในตัวมันเอง เริ่มตั้งแต่ผู้ใช้เปิดโปรแกรมดูผลเว็บ (Browser) พิมพ์ชื่อเรียกเว็บ (URL : Uniform Resource Locator) เมื่อเอกสารเว็บแสดงผล ผ่านเบราเซอร์ ผู้ใช้ก็สามารถคลิกเลือกรายการ หรือข้อมูลที่สนใจ อันเป็นการทำงานแบบโต้ตอบไปในตัวนั่นเอง
     
การใช้โปรแกรมประเภทนี้ จะต้องมีโปรแกรมลูก หรือ Browser ที่สามารถทำให้ผู้ใช้ สามารถมองเห็นภาพ หรือข้อมูลแบบต่างๆ โปรแกรมประเภทนี้ได้แก่ MS Internet Exploror, Mosaic, Netscape, Cello เป็นต้น
           

เวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web)

-  เวิลด์ไวด์เว็บ นิยมเรียกสั้นๆ ว่าเว็บ หรือ WWW ถือเป็นส่วนที่น่าสนใจที่สุดบนอินเทอร์เน็ตเพราะ
สามารถแสดงสารสนเทศต่างๆ ได้หลากหลาย เช่น นิตยสารหรือหนังสือพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ข้อมูลด้านดนตรี
กีฬา การศึกษา ซึ่งสามารถนำเสนอได้ทั้งภาพ เสียง รวมถึงภาพเคลื่อนไหว เช่นแฟ้มภาพวีดิทัศน์หรือตัวอย่าง
ภาพยนตร์ และการสืบค้นสารสนเทศในเวิลด์ไวด์เว็บนั้นจำเป็นต้องอาศัยโปรแกรมค้นดูเว็บ (web browser)
ในการเข้าถึงแหล่งข้อมูล โดยที่เว็บกับโปรแกรมค้นผ่านจะทำหน้าที่รวบรวมและกระจายเอกสารที่เครือข่าย
ที่ทำไว้
เกตส์ (Gates, 1995) ได้กล่าวถึงเว็บไว้ว่า นอกเหนือจากการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์และการแลก
เปลี่ยนเอกสารกันแล้ว อินเทอร์เน็ตยังสนับสนุนสืบค้นข้อมูล อันเป็นโปรแกรมการใช้งานที่ได้รับความนิยม
มากที่สุดแบบหนึ่งนั่นคือเวิลด์ไวด์เว็บ ซึ่งหมายถึงเครื่องบริการเว็บที่ต่อเชื่อมเข้ากับอินเทอร์เน็ตโดยมี
ข่าวสารเป็นภาพกราฟิก เมื่อเชื่อมต่อเข้ากับเครื่องบริการเว็บประเภทนั้น จอภาพจะปรากฏข่าวสารพร้อมด้วย
การเชื่อมโยง เมื่อเลื่อนเมาส์ไปคลิกที่จุดเชื่อมโยงใดๆ ก็จะเป็นการเปิดไปสู่อีกหน้าหนึ่งที่มีข่าวสารเพิ่มเติม
พร้อมทั้งการเชื่อมโยงจุดใหม่อื่นๆ ซึ่งข่าวสารหน้าใหม่นี้อาจจะอยู่ในเครื่องบริการเว็บเดียวกันหรืออาจเป็น
เครื่องบริการเว็บอื่นๆ ในอินเทอร์เน็ต
กิดานันท์ มลิทอง (2540) ได้กล่าวถึงเวิลด์ไวด์เว็บว่า เป็นบริการสืบค้นสารสนเทศที่อยู่ในอินเทอร์เน็ต
ในระบบข้อความหลายมิติ (hypertext) โดยคลิกที่จุดเชื่อมโยง เพื่อเสนอหน้าเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
สารสนเทศที่นำเสนอจะมีรูปแบบทั้งในลักษณะของตัวอักษร ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียง การเข้าสู่ระบบ
เว็บจะต้องใช้โปรแกรมทำงานซึ่งโปรแกรมที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน ได้แก่ เน็ตสเคป นาวิเกเตอร์ (Netscape
Navigator), อินเทอร์เน็ต เอ็กซพลอเรอร์ (Internet Explorer) มอเซอิก (Mosaic) โปรแกรมเหล่านี้ช่วย
ให้การใช้เว็บในอินเทอร์เน็ตเป็นไปอย่างสะดวกยิ่งขึ้น
ความเป็นมาของเวิลด์ไวด์เว็บ
ปี พ.ศ.2533 นักวิทยาศาสตร์จากห้องทดลองของสถาบันเซิร์น (CERN) ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการฟิสิกส์
แห่งยุโรป ในนครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ คือ ทิม เบิร์นเนอร์ส-ลี (Tim Berners-Lee) ได้สร้างระบบ
การสื่อสารข้อมูลผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในรูปแบบใหม่ ที่เรียกว่าไฮเพอร์เท็กซ์ (hypertext) ซึ่งผลที่ได้
ทำให้มีการสร้างโพรโทคอลแบบ HTTP (Hypertext Transport Protocol) ขึ้น เพื่อใช้ในการส่งสาร
สนเทศต่างๆ โดยจะถูกจัดอยู่ในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า HTML (HyperText Markp Language) ซึ่งการ
สื่อสารและการสืบค้นสารสนเทศในรูปแบบใหม่นี้ทำให้มนุษย์สามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็วใน
ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นข้อความ ภาพ และเสียง (จิตเกษม พัฒนาศิริ, 2540)
จากการวิจัยดังกล่าว ในปัจจุบันได้มีการคิดค้นและสร้างสรรค์รูปแบบเพื่อสื่อสารระหว่างมนุษย์ด้วยกัน
โดยอาศัยเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นตัวเชื่อมโยง ทำให้เวิลด์ไวด์เว็บกลายเป็นเครื่องมือที่ใช้การติดต่อสื่อสาร
และการนำเสนอผ่านเครือข่ายทิ่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกไปแล้วในขณะนี้
เว็บไซต์ เว็บเพจและโฮมเพจ

เว็บไซต์ เว็บเพจและโฮมเพจ ถือเป็นองค์ประกอบหนึ่งของเว็บ เนื่องจากเมื่อเข้าไปในเว็บแล้ว
สารสนเทศหรือข้อมูลต่างๆ ที่ต้องการสืบค้นก็คือหน้าของเอกสารที่ปรากฏบนจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งรายละเอียด
ของแต่ละส่วนมีดังนี้
เว็บไซต์ (Web site)
ปิยวิท เจนกิจจาไพบูลย์ (2540) ได้กล่าวว่า เว็บไซต์ ถูกเรียกเป็นตำแหน่งที่อยู่ของผู้ที่มีเว็บเพจเป็น
ของตัวเองบนระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งได้จากการลงทะเบียนกับผู้ให้บริการเช่าพื้นที่บนระบบอินเทอร์เน็ต
เมื่อลงทะเบียนในชื่อที่ต้องการแล้ว ก็สามารถจัดทำเว็บเพจและส่งให้ศูนย์บริการนำขึ้นไปไว้บนอินเทอร์เน็ต
ซึ่งถือว่ามีเว็บไซต์เป็นของตนเองแล้ว และเว็บไซต์ก็คือแหล่งที่รวบรวมเว็บเพจจำนวนมากมายหลายหน้า
ในเรื่องเดียวกันมารวมอยู่ด้วยกัน แต่สิ่งหนึ่งในการเสนอเรื่องราวที่อยู่บนเว็บไซต์ที่แตกต่างไปจากโปรแกรม
โทรทัศน์ เนื้อหาในนิตยสาร หรือหนังสือพิมพ์ เนื่องจากการทำงานบนเว็บจะไม่มีวันสิ้นสุด ทั้งนี้เนื่องจากเรา
สามารถเปลี่ยนแปลงและเพิ่มสารสนเทศบนเว็บไซต์ได้ตลอดเวลา และแต่ละเว็บเพจจะมีการเชื่อมโยง
กันภายในเว็บไซต์หรือไปยังเว็บไซต์อื่นๆ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถอ่านได้ในเวลาอันรวดเร็ว (กิดานันท์ มลิทอง,
2542)
นิรุธ อำนวยศิลป์ (2542) กล่าวถึงเว็บไซต์ว่า เป็นชื่อเรียก Host หรือ Server ที่ได้จดทะเบียนอยู่ใน
เวิลด์ไวด์เว็บ ซึ่งก็คือชื่อชื่อ Host ที่ถูกกำหนดให้มีชื่อในเวิลด์ไวด์เว็บ และขึ้นต้นด้วย http และมีโดเมน
หรือนามสกุลเป็น .com, .net, .org หรืออื่นๆ
เว็บเพจ (Web page)
สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และ
คอมพิวเตอร์แห่งชาติ (2540) ได้ให้ความหมายของเว็บเพจไว้ดังนี้ เว็บเพจ คือหน้าหนังสืออิเล็กทรอนิกส์
บนเว็บ ที่เจ้าของเว็บเพจ ต้องการจะใส่ลงไปในหน้าหนังสืออิเล็กทรอนิกส์นั้น เช่น ข้อมูลแนะนำตัวเอง
ซึ่งอาจเป็นบุคคลหรือองค์กรที่ต้องการให้ผู้อื่นได้ทราบ หรือข้อมูลที่น่าสนใจ เป็นต้น โดยที่ข้อมูลที่แสดง
เป็นได้ทั้งข้อความ เสียง ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหวและข้อมูลที่นำเสนอสามารถเชื่อมโยงในรูปของ
ไฮเพอร์เท็กซ์ คือ เชื่อมโยงไปยังเว็บเพจอื่นที่จะให้ข้อมูลนั้นๆ ในระดับลึกลงไปได้เรื่อยๆและเว็บเพจจะ
ต้องมีที่อยู่อิเล็กทรอนิกส์บนเครือข่ายเฉพาะของตน ซึ่งแหล่งที่อยู่นี้เรียกว่า URL (Uniform Resource
Locator)
 แมทธิว (Matthews, 1997) ได้ให้ความหมายของเว็บเพจว่า เป็นแฟ้มข้อความที่อยู่ในรูปของ
Hyper Text Markup Language (HTML) ซึ่งสามารถเชื่อมโยงไปสู่แฟ้มข้อมูลและเว็บเพจอื่นๆ โดยที่
แฟ้มข้อมูลจะถูกเก็บไว้ในเครื่องบริการเว็บ (web server) และสามารถที่เข้าถึงแฟ้มข้อมูลได้ด้วย
เครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับเครื่องบริการเว็บ โดยผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือ
ระบบแลน (LAN)
นอกจากนี้ ยังสามารถเข้าถึงแฟ้มข้อมูลได้โดยการใช้โปรแกรมค้นดูเว็บ (web browser) โดยที่
โปรแกรมจะทำการดาวน์โหลดข้อมูลมายังเครื่องคอมพิวเตอร์ และแปลคำสั่งของ HTML แล้วแสดงผล
ออกทางจอคอมพิวเตอร์
ส่วนอีกความหมายหนึ่งของเว็บเพจ คือ รูปแบบการปฏิสัมพันธ์ของการสื่อสารโดยใช้เครือข่าย
คอมพิวเตอร์ โดยส่วนประกอบสำคัญของเว็บเพจมีสองส่วนคือ ส่วนที่เป็นปฏิสัมพันธ์ และส่วนที่เป็นสื่อประสม
สำหรับส่วนที่เป็นสื่อประสมนั้นจะประกอบไปด้วย ตัวอักษร เสียง ภาพเคลื่อนไหว และแฟ้มวีดิทัศน
ซึ่งทั้งหมดนี้จะประกอบกันเพื่อนำเสนอเนื้อหา และในส่วนที่เป็นปฏิสัมพันธ์ เนื่องจากผู้ใช้สามารถส่งข้อมูล
หรือคำสั่งไปยังเว็บไซต์ที่ถูกควบคุมด้วยบริการเว็บอีกทอดหนึ่ง ในแต่ละเว็บเพจจะมีที่อยู่เว็บที่เรียกว่า
Uniform Resource Locator (URL) โดยที่อยู่เว็บ จะปรากฏในช่อง Address (เป็นส่วนของกล่อง
ข้อความและ drop-down) ที่ส่วนบนของจอภาพ
โดยที่อยู่เว็บนั้นเปรียบเสมือนทางผ่านบนอินเทอร์เน็ตเพื่อไปยังเว็บเพจที่ต้องการ เช่นเดียวกับ
การค้นหาแฟ้มต่างๆ ในคอมพิวเตอร์
กิตติ ภักดีวัฒนกุล (2540) ได้กล่าวถึงส่วนประกอบของเว็บเพจว่า มีส่วนประกอบต่างๆ ที่จำเป็นดังนี้ ดังนี้
1. Text เป็นข้อความปกติ โดยเราสามารถตกแต่งให้สวยงามและมีลูก เล่นต่างๆ ดังเช่น
โปรแกรมประมวลคำ
2. Graphic ประกอบด้วยรูปภาพ ลายเส้น ลายพื้น ต่างๆ มากมาย
3. Multimedia ประกอบด้วยรูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว และแฟ้มเสียง
4. Counter ใช้นับจำนวนผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บเพจของเรา
5. Cool Links ใช้เชื่อมโยงไปยังเว็บเพจของตนเองหรือเว็บเพจของคนอื่น
6. Forms เป็นแบบฟอร์มที่ให้ผู้เข้าเยี่ยมชม กรอกรายละเอียด แล้วส่งกลับ มายังเรา 
7. Frames เป็นการแบ่งจอภาพเป็นส่วนๆ แต่ละส่วนก็จะแสดงข้อมูลที่แตก ต่างกันและเป็นอิสระจากกัน
8. Image Maps เป็นรูปภาพขนาดใหญ่ ที่กำหนดส่วนต่างๆ บนรูป เพื่อเชื่อมโยง ไปยังเว็บเพจอื่นๆ
9. Java Applets เป็นโปรแกรมสำเร็จรูปเล็กๆ ที่ใส่ลงในเว็บเพจ เพื่อให้การใช้งาน เว็บเพจ
มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นอกจากส่วนประกอบดังกล่าวแล้ว องค์ประกอบที่นิยมใส่ไว้ในเว็บเพจอีก 2 ส่วนได้แก่ 1) สมุดเยี่ยม
(guestbook) และ 2) เว็บบอร์ด (webboard) ที่ช่วยให้เว็บเพจกลายเป็นสื่อที่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่าง
ผู้ใช้กับผู้สร้าง และระหว่างผู้ใช้ด้วยกันเอง โดยอาศัยหลักการที่เรียกว่า Common Gateway Interface
หรือ เรียกสั้นๆ ว่า CGI โดยมีรายละเอียดดังนี้
Common Gateway Interface (CGI)
เป็นมาตรฐานที่ผู้ที่เข้าไปใช้ข้อมูลในเครื่องบริการเว็บในอินเทอร์เน็ต สามารถสืบค้นข้อมูลในฐานข้อมูล
เช่น หัวข้อข่าวต่างๆ หรือบทความทางวิชาการ รายชื่อหนังสือ หรือการสมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับบริการต่างๆ
ทางอินเทอร์เน็ต ซึ่ง CGI จะทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลที่ได้จากการพิมพ์ข้อมูลของผู้เยี่ยมชมและแสดงผล
ออกมาทางเว็บเพจ ตัวอย่างเว็บไซต์ที่มีระบบการใช้งาน CGI ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกคือ
http://www.yahoo.com
สมุดเยี่ยม (Guestbook)
สมุดเยี่ยม ทำหน้าที่คล้ายๆ กับสมุดบันทึก เมื่อมีผู้เข้ามาเยี่ยมและเมื่อผู้ชมได้เขียนคำติ-ชม
หรือความคิดเห็นต่างๆ ลงในแบบฟอร์มที่ได้จัดทำได้ โปรแกรมก็จะทำการประมวลผลโดย CGI
และแสดงผลที่ผู้เขียนได้บันทึกไว้ออกมาทางเว็บเพจที่เรากำหนดไว้
เว็บบอร์ด (Webboard)
เว็บบอร์ด เป็นส่วนประกอบหนึ่งที่ทำให้เว็บกลายเป็นที่นิยม โดยเว็บบอร์ดทำหน้าที่คล้ายๆ
กับการให้ผู้เข้าเยี่ยมชมร่วมแสดงความคิดเห็น ทัศนะต่างๆ ตามที่มีการตั้งหัวข้อหรือกระทู้เอาไว้
ตัวอย่างเว็บบอร์ดที่เป็นที่นิยมมากที่สุดของไทยคือเว็บไซต์ http://www.pantip.com/
ซึ่งในแต่ละวันจะมีผู้เข้าใช้บริการราวประมาณ 30,000 คน
ภาพที่ 2 ตัวอย่างสมุดเยี่ยม
ภาพที่ 3 ตัวอย่างเว็บบอร์ด
โฮมเพจ (Home page)
โดยทั่วไปแล้วในแต่ละเว็บไซต์จะมีโฮมเพจ หรือ หน้าต้อนรับ (welcome page) ซึ่งปรากฏเป็นหน้าแรก
เมื่อเปิดเว็บไซต์นั้นขึ้นมา เปรียบเสมือนกับสารบัญและคำนำ ที่เจ้าของเว็บไซต์สร้างขึ้นเพื่อใช้ประชาสัมพันธ์
องค์กรของตนว่าให้บริการในสิ่งใดบ้าง (กิดานันท์ มลิทอง, 2542)นอกจากนี้ภายในโฮมเพจก็อาจมีเอกสาร
ข้อความที่เชื่อมโยงต่อไปยังเว็บเพจอื่นได้อีก ซึ่งโฮมเพจ สามารถเชื่อมโยงกับเว็บเพจและเว็บไซต์อื่นๆ
อีกเป็นจำนวนมากได้ (งามนิจ อาจรินทร์, 2542)
 
ภาพที่ 3 ตัวอย่างเว็บบอร์ด

 จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าความหมายเว็บไซต์ เว็บเพจ และโฮมเพจนั้นมีลักษณะ คล้ายกัน
คือเป็นหน้าเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรากฏบนจอคอมพิวเตอร์โดยอาศัยระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เรียก
กันว่าเวิลด์ไวด์เว็บเป็นตัวกลางเชื่อมโยงระหว่างผู้ทำเว็บกับผู้ชม โดยเว็บไซต์นั้นเปรียบเสมือนศูนย์รวม
ข้อมูลข่าวสารขององค์กรหรือหน่วยงาน โดยมีเว็บเพจทำหน้าที่อธิบายขยายความในแต่ละส่วน และโฮมเพจ
ถือเป็นส่วนที่ต้อนรับและบอกกล่าวกับผู้มาชมว่าข้อมูลข่าวสารที่ผู้ชมต้องการนั้นอยู่ในส่วนไหนของเว็บไซต์